• Sat. Apr 27th, 2024

ข้อมูล EV Station ที่จะช่วยให้คุณใช้รถไฟฟ้าได้แบบมืออาชีพ

ByAdministrator

Sep 14, 2023 #EV Station
EV Station

ปัจจุบันตัวเลือกในการซื้อรถยนต์สำหรับใช้ในชีวิตประจำวันมีมากมาย หนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจและกำลังได้รับความนิยมจากผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นอย่างมากก็คือ รถยนต์ไฟฟ้า หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่ารถ EV (Electric Vehicle) ซึ่งข้อมูลสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจ ทั้งผู้ที่กำลังมองหารถ EV ไว้ใช้งาน หรือผู้ที่มีรถ EV ใช้ในชีวิตประจำวันกันแล้ว ต่างก็ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมากก็คือ ข้อมูลเกี่ยวกับ EV Charger และ EV Station

หากถามว่าทำไมข้อมูลทั้ง 2 เรื่องนี้จึงสำคัญสำหรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแล้วล่ะก็ คำตอบคือ เพราะรถยนต์ไฟฟ้าใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนแบบ 100% ดังนั้นการเลือกเติมไฟฟ้าจากสถานีจ่ายไฟฟ้า ด้วยหัวจ่ายไฟฟ้าในรูปแบบต่าง ๆ จึงเป็นข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ เพื่อที่จะช่วยให้คุณใช้รถไฟฟ้าแบบมืออาชีพได้นั่นเอง

รู้หรือไม่ EV Charger มีกี่ประเภท

EV Charger คือ อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเติมไฟฟ้าให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งโดยทั่วไปนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ

1. EV Charger แบบ Normal Charge คือ อุปกรณ์ชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (EV A.C. Charger) ที่ชาร์จไฟเพื่อกักเก็บไฟฟ้าในแบตเตอรี่ผ่านการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้ากระแสตรงผ่าน On-Board AC-Charger ส่วนใหญ่รูปแบบการชาร์จมักเป็นการชาร์จไฟจาก Wallbox ที่ติดตั้งกับมิเตอร์ไฟบ้าน ซึ่งจะต้องมีการติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าสำหรับ Wallbox โดยเฉพาะ โดยทั่วไปมิเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งใหม่นั้นต้องสามารถรองรับกระแสไฟฟ้าขั้นต่ำขนาด 15 (45) A ได้ ทั้งนี้การติดตั้งควรให้ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถติดตั้ง Wallbox ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดทำหน้าที่ติดตั้งให้ เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจว่าจะใช้งานได้ในระยะยาว ทั้งนี้รูปแบบการชาร์จไฟรถ EV ประเภทนี้ มักจะใช้ระยะเวลาในการชาร์จอยู่ที่ประมาณ 12-15 ชั่วโมง ข้อดีคือค่าใช้จ่ายสำหรับการชาร์จไฟค่อนข้างน้อยกว่าการชาร์จประเภทอื่น

EV Station

2. EV Charger แบบ Quick Charge คือ อุปกรณ์ชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (EV D.C. Charger) เข้าสู่แบตเตอรี่โดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องผ่าน On-Board AC-Charge ในตัวรถ การชาร์จประเภทนี้สามารถชาร์จได้ตาม EV Station ที่เปิดให้ใช้บริการทั่วไป ข้อดีคือใช้ระยะเวลาในการชาร์จไฟฟ้าที่ระดับแบตเตอรี่ 0-80% ด้วยระยะเวลาไม่นาน เฉลี่ยไม่เกิน 30 นาที แต่ก็ต้องแลกกับข้อจำกัดคือ ความไม่เพียงพอของสถานีชาร์จในปัจจุบัน ส่งผลให้ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวจะต้องต่อคิวชาร์จไฟกันนานกว่าปกติ และยังต้องมีการวางแผนการเดินทางอย่างรัดกุมเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

แนะนำ 2 EV Station น่าใช้งานในประเทศไทย

1. PEA Volta 

เป็น EV Station สำหรับให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยปัจจุบัน PEA VOLTA Charging Station เปิดให้มีหัวชาร์จมาตรฐาน 3 รูปแบบไว้คอยให้บริการ ได้แก่ – หัวชาร์จ AC Type 2 (43 kW)
– หัวชาร์จ DC CHAdeMo (50 kW)
– หัวชาร์จ CCS Combo II (25 kW, 50 kW, 120 kW, 360 kW) 

ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 244 สถานี ครอบคลุมการเดินทางเส้นทางเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก และอีสาน เรียกได้ว่าสามารถใช้บริการได้แทบทุกภูมิภาคในประเทศไทย โดยการจะชาร์จไฟที่สถานีให้บริการนี้ ผู้ใช้งานจะต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน PEA VOLTA ซึ่งรองรับทั้งระบบ Android และ iOS มาใช้งาน เพื่อให้สามารถจ่ายค่าบริการชาร์จไฟผ่านโทรศัพท์มือถือได้นั่นเอง โดยตัวแอปพลิเคชันจะแสดงข้อมูลสถานีชาร์จไฟทั้งหมดของ PEA Volta เพื่อให้ง่ายต่อการวางแผนการเดินทาง โดยอัตราค่าบริการช่วง Off Peak อยู่ที่ 4.1663 บาทต่อหน่วย และช่วง Peak อยู่ที่ 7.5489 บาทต่อหน่วย

2. EleX by EGAT 

เป็น EV Station ที่ให้บริการโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจด้านกิจการพลังงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง ปัจจุบัน EleX by EGAT มีสถานีจ่ายไฟไว้คอยให้บริการทั้งสิ้น 50 สถานี โดยเปิดให้บริการอยู่ในพื้นที่ กฟผ. และปั๊มน้ำมัน PT ด้วยเครื่องชาร์จที่มีกำลังไฟสูงสุดถึง 125 kW ซึ่งนับเป็น EV Station ที่สามารถให้บริการชาร์จไฟฟ้าได้เร็วที่สุดในประเทศไทยขณะนี้ สำหรับผู้ที่สนใจใช้บริการ EleX by EGAT จะต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน EleXA ซึ่งรองรับทั้งระบบ Android และ iOS มาใช้งาน ส่วนอัตราค่าบริการจะขึ้นอยู่กับสถานที่ให้บริการ หากเป็น EleX by EGAT ในพื้นที่สถานีบริการน้ำมัน PT จะอยู่ที่ 7.5 บาทต่อหน่วย หากอยู่ในพื้นที่ กฟผ. ตู้ชาร์จ D.C. ขนาด 50 kW อยู่ที่ 6.5 บาทต่อหน่วย และ A.C. ขนาด 22 kW อยู่ที่ 5.5 บาทต่อหน่วย

อย่างไรก็ตามนอกจาก EV Station ทั้ง 2 ผู้ให้บริการนี้แล้ว ยังมีผู้ให้บริการ EV Station อื่น ๆ อีกมากมาย รอให้ผู้ใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าได้เลือกใช้บริการกันได้ตามความสะดวก เชื่อว่าในอนาคตก็มีผู้ประกอบการอีกหลากหลายรายเข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เพราะเทรนด์ของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นในทุก ๆ ปีนั่นเอง